วันพฤหัสบดีที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2555

รับสอนภาษาอังกฤษ ตัวต่อตัวและเป็นกลุ่ม

รับสอนภาษาอังกฤษ ตัวต่อตัวและเป็นกลุ่ม
เรียนสนุก เข้าใจง่าย เน้นใช้งานได้ในชีวิตประจำวัน
ฟัง พูด อ่าน เขียน ทุกระดับ ตั้งแต่ ประถม มัธยม มหาวิทยาลัย จนถึงการใช้ภาษาอังกฤษในการทำงาน

มีประสบการณ์การสอนกว่า 5 ปี รับติวทั้งแบบกลุ่ม(ไม่เกิน 5 คน) และเดี่ยว เรียนตามบทเรียนที่โรงเรียน ติวเพิ่มเติม ติวก่อนสอบ

ENGLISH TRAINING FOR ADULTS AND CORPORATIONS

Business English conversation
Business English communication

Business English Writing for emails and documents

สนใจติดต่อ ครูพิงค์ 0924965965

line ID: @nupink
พระราม2, บางบอน, เอกชัย, เพชรเกษม

วันอาทิตย์ที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

12/2/12

ไม่ได้มาเขียนนานจนลืมไปแล้ว วันนี้มีเรื่องอะไรให้คิดมากมาย รู้สึกว่าเยอะไปแล้ว เลยอยากเอามาใส่บล็อก เพราะคิดว่าน่าจะดีกว่าให้มันวิ่งวนๆอยู่ในหัว
เผลอไปแชทแค่ 10 นาที ความรู้สึกเปลี่ยนคลายเลย เมื่อกี้คิดว่า ถ้าก่อนหน้าจะแชท แล้วเราตั้งใจว่าจะไปแชทเพื่อให้เรารู้สึกดีขึ้น มันก็ไม่ใช่ มันก็จะเครียดๆ แต่นี่ทำๆไป ไม่ได้คิดหวัง มันก็เป็นของมันเอง จิตมันสั่งไม่ได้ บังคับไม่ได้จริงๆ อ่ะ
ใจมันคิดแล้วมันเครียด แต่เป็นหน้าที่ต้องทำก็ต้องทำละกัน จะเครียดตายก็ให้มันรู้ไป เห้อ ถ้ากลั้นใจทำๆมันไป มันอาจจะไม่ได้แย่อย่างที่คิดก็ได้นะ แล้วส่วนใหญ่ก็มักจะเป็นแบบนั้นด้วย เอาวะ ตามนั้นละกัน

วันพุธที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2554

หัวใจ 7 วิธีคิดอย่างคนเก่ง

คนเก่งเขามีวิธีคิดอย่างไรกันหนอ การเป็นคนเก่ง ไม่ใช่ความโชคดีของพันธุกรรม เราก็เป็นคนเก่งได้ แค่ฝึกฝน ขัดเกลา สมอง และหัวใจ 7 วิธีคิดอย่างคนเก่งได้แก่

1.คิดในทางบวก - มองโลกในแง่ดี และทำทุกสิ่งอย่างเต็มกำลัง ทำตัวให้สดชื่น มีชีวิตชีวาและกระตือรือร้นอยู่เสมอ พร้อมที่จะเผชิญกับทุกสถานการณ์

2.มีศรัทธาในตัวเอง - อยากให้ใครๆ เขาชื่นชอบและทึ่งในตัวคุณ คุณก็ต้องมั่นใจตัวเองก่อน

3.ขอท้าคว้าฝัน - ตั้งใจจริง และทุ่มสุดตัว ความกระหายอันแรงกล้า ที่จะพาตัวเองไปสู่จุดหมาย เป็นแรงผลักดันที่จะทำให้คุณสานฝันสู่ความจริงได้

4.ค้นหาบุคคลต้นแบบ - ใครก็ได้ที่ชื่นชม เพื่อเป็นมาตรฐานที่ดีในการดำเนินรอยตามแนวคิด

5.เริ่มต้นงานใหม่ทุกวันด้วยรอยยิ้มสดใสคนที่มีรอยยิ้ม ระบายไว้บนใบหน้า เสมือนประตูที่เปิดกว้างให้ใครๆ อยากเข้ามาคบหาด้วยการเจรจาติดต่องาน

6.เรียนรู้จากความผิดพลาด - สี่เท้ายังรู้พลาด นักปราชญ์ยังรู้พลั้ง จะเป็นอะไรเชียวถ้าเราจะทำอะไร แล้วจะยังไม่สำเร็จอย่างที่หวังไว้เพียงแต่ขอให้ทำเต็มที่

7.ทะนุถนอมมิตรสัมพันธ์เก่า ๆ - มีเวลาให้กับเพื่อนสนิทที่รู้จักกันมานานบ้าง

Happy new year 2011

เริ่มต้นปีใหม่มาได้ 6 วันแล้ว ปีใหม่นี้ขอให้มีแต่เรื่องดีๆด้วยเถ้อะะะะ สาธุๆ

ปีใหม่ กลับไปคืนดีกับเพื่อนเก่า ไปดูหนังกินข้าว ไหว้พระสวดมนต์ด้วย รู้สึกดีนะ กับการเริ่มต้นปีใหม่กับเรื่องดีๆและมิตรภาพดีๆที่กลับมาได้อีกครั้งอ่ะ

ถัดมา ต้อนรับปีใหม่ด้วยการไปไหว้พระ 9 วัด หนุกหนาน อิ่มบุญ ถ่ายรูป กินข้าว เดินเล่น ได้มา 5 วัด 2 ศาล น่าจะหาเวลาว่างเอาให้ครบ 9วัด และไปๆมาๆอาจได้กลายเป็นแม่สื่อแบบไม่รู้ตัวอีกต่างหาก

การเริ่มต้นปีใหม่ก้เป็นเรื่องดีนะ อ่านเจอเค้าบอกว่า ช่วงการเริ่มต้นปีใหม่จะเป็นช่วงที่ทุกคนมีความหวังที่สวยงาม หวังจะเริ่มต้นใหม่ หวัง
จะให้มีเรื่องดีๆเข้ามา .... คิดแล้วก็จริง และถ้าเราเป็นประเภท ความหวังหายไปง่ายๆ คงต้องคิดเริ่มใหม่กันบ่อยๆ เอาแบบ เดือนละครั้ง หรืออาทิตย์ละครั้งเลยน่าจะดี :)

บังเอิญได้อ่านหนังสือ "สร้างความสุขภายใน 3 นาที" น่าจะชื่อนี้นะ แต่แปลกที่หาข้อมูลใน google ไม่ได้เลย อ่านไปเล่มแรก ดีมากเลยนะ ถ้าจะให้ดีกว่านี้ ต้องอ่านแล้วทำตามจนเป็นธรรมชาติของเราไปเลย ทำได้แค่ครึ่งเดียวก็ทำให้ตัวเราเองมีความสุขได้มากกว่าเดิมเยอะมากๆแล้วอ่ะ

วันพฤหัสบดีที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2553

การสร้างแรงบันดาลใจเพื่อไปสู่ความสำเร็จ

การสร้างแรงบันดาลใจเพื่อไปสู่ความสำเร็จ
หากอ่านแล้วไม่นำไปปฏิบัติ ก็ไม่อาจทำให้ชีวิตเปลี่ยนแปลงได้ ต้องลงมือปฏิบัติอย่างยืนหยัด ต่อเนื่อง และสม่ำเสมอเท่านั้น จึงจะสามารถสร้างนิสัยแห่งความสำเร็จ และช่วยให้ผู้ปฏิบัติประสบความสำเร็จในชีวิตได้

ตอนเริ่มต้น: เราจะเป็นอย่างที่เราคิด
ตอน 1 เราคือ ผู้สร้างโลกของตัวเอง
ตอน 2 อานิสงส์ของการมีเป้าหมายที่ชัดเจน
ตอน 3 การกินช้างหรือการเดินทางหนึ่งพันลี้
ตอน 4 อานิสงส์ของการมีทักษะ
ตอน 5 อุปสรรคของความสำเร็จ
ตอน 6 การผัดวันประกันพรุ่งอย่างสร้างสรรค์
ตอน 7 ความท้อแท้ที่หัดจนเป็นนิสัย
ตอน 8 ความพากเพียรคือเครื่องหมายของความสำเร็จ
ตอน 9 การลงทุนเวลาเพื่อความสำเร็จ
ตอน 10 การพัฒนาชีวิต
ตอนจบ

ตอนเริ่มต้น: เราจะเป็นอย่างที่เราคิด
ความสำเร็จเป็นผลของ เจตคติ เจตคติคือ นิสัยการคิด นิสัยไม่ใช่สัญชาตญาณ หากแต่เป็นปฏิกิริยาที่เกิดจากการทำซ้ำ ดังนั้น การคิดดี พูดดี ทำดี ซ้ำแล้วซ้ำเล่าจะกลายเป็นนิสัยที่ดี ซึ่งเป็นนิสัยแห่งความสำเร็จ นักคิดผู้ยิ่งใหญ่ล้วนคิดตรงกันในประเด็นที่ว่า เราจะเป็นอย่างที่เราคิด อาทิ
พระวจนะหนึ่งของ พระพุทธเจ้า คือ จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว
โซโลม่อน กล่าวว่า เพราะมนุษย์คิด ในหัวใจของเขา เขาจึงเป็นเช่นนั้น
มาร์คัส ออเรลีอุส เขียนไว้ว่า ชีวิตของมนุษย์คือ สิ่งที่ความคิดของเขาสร้างขึ้น
ราฟ วัลโด อีเมอร์สัน ก็ยืนยันว่า คนผู้หนึ่งคือ สิ่งที่เขาเฝ้าวนเวียนคิดอยู่ตลอดวัน
คนเราจึงเป็นในสิ่งที่เรา โปรแกรม สมองเราไว้ คนที่ประสบความสำเร็จ คือ คนที่โปรแกรมเรื่องราวของความสำเร็จไว้ในสมองของเขาหรือเธอ ส่วนคนที่น่าสังเวชจะนำเอาแต่เรื่องแย่ๆ ใส่สมอง ดังนั้น ขอให้เราจงเป็น โปรแกรมเมอร์ เพื่อพัฒนาโปรแกรมด้วยตนเอง โดยพัฒนาแต่สิ่งดีๆ ไว้ในสมอง และหลีกเลี่ยงการนำเรื่องแย่ๆ ใส่สมอง โปรดจำไว้ว่า เราจะเป็นอย่างที่เราคิด
ดังนั้น จงตั้งใจให้แน่วแน่ในการนำเอาหลักการที่นำเสนอนี้มาปรับปรุงตนเอง เพื่อมุ่งไปสู่ความสำเร็จในชีวิต ตั้งแต่วินาทีนี้

ตอน 1 เราคือผู้สร้างโลกของตัวเอง
ความคิดเป็นตัวสร้างโลกของเราเอง ดังบทสรุปที่ยิ่งใหญ่ของทุกศาสนา ทุกปรัชญา อภิปรัชญา และจิตวิทยา ที่ว่า
... คุณจะเป็นอย่างที่คุณคิดเกือบตลอดเวลา โลกภายนอกของคุณ คือ ภาพสะท้อนโลกภายในของคุณ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงสิ่งที่คุณคิด ทุกอย่างที่คุณคิดจะโผล่ออกมาในความเป็นจริงของคุณอย่างต่อเนื่อง ... (ไบรอัน เทรซี่, 2003: 8).
นั่นหมายถึง หากเราคิดว่าตัวเองโง่ ล้มเหลว สู้คนอื่นไม่ได้ หากคิดเช่นนี้บ่อยครั้ง ความคิดเหล่านี้จะไปตอกย้ำความล้มเหลว และสิ่งที่สะท้อนออกมาให้เห็นก็คือ ความท้อแท้ ความห่อเหี่ยว และหมดกำลังใจที่จะต่อสู้ (โลกภายนอก) ในที่สุดก็จะประสบความล้มเหลวจริงๆ ทั้งในเรื่องการเรียนและการทำงาน เพราะนั่นคือ การสาปแช่งตัวเอง วาจาของตนศักดิ์สิทธิ์ยิ่งกว่าวาจาของคนอื่น ในทางตรงข้าม หากเรารักและนับถือตนเอง เราก็จะตอกย้ำแต่สิ่งดีๆ ให้กับตนเอง ให้พรตัวเอง มีความเชื่อว่า เราต้องทำได้ เพราะคนจำนวนมากที่ประสบความสำเร็จนั้น เขามีพื้นฐานทั่วไปแทบไม่แตกต่างจากเราเลย ให้เรานึกถึงภาพแห่งความสำเร็จของตนเอง แล้วตั้งเป้าหมายที่ต้องการไว้ จากนั้นวางแผนเพื่อนำไปสู่จุดหมายที่ตั้งไว้
กฎสู่ความสำเร็จข้อหนึ่งคือ ไม่สำคัญว่าเราจะมาจากไหน ที่สำคัญคือ เราจะไปไหน และที่ที่เราจะไปนั้นถูกกำหนดด้วยตัวเราหรือไม่ นั่นคือ เราเป็นผู้ตั้งเป้าหมายนั้นหรือไม่ เพราะ.. เป้าหมาย คือ เชื้อเพลิงในเตาหลอมแห่งความสำเร็จ
การดำเนินชีวิตโดยปราศจากเป้าหมายที่ชัดเจนเปรียบเสมือนการขับรถท่ามกลางหมอกหนาทึบ ไม่ว่ารถของเราจะมีประสิทธิภาพดีเพียงใดก็ตามและแม้จะขับบนถนนที่เรียบที่สุด เราก็ยังต้องขับช้าๆ อย่างหวาดกลัว ส่วนการดำเนินชีวิตที่มีเป้าหมายชัดเจนนั้น เปรียบเสมือนการขับรถที่ปราศจากหมอกควันมาบดบัง จึงสามารถเหยียบคันเร่งแห่งชีวิตให้ทะยานไปข้างหน้าเพื่อมุ่งไปสู่ความสำเร็จได้อย่างรวดเร็วและมั่นคง

ตอน 2 อานิสงส์ของการมีเป้าหมายที่ชัดเจน
ระหว่างปี ค.ศ. 1979 ถึง 1989 นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาดได้ทำการศึกษาพบว่า การตั้งเป้าหมายที่ชัดเจนส่งผลให้เราประสบความสำเร็จด้านรายได้ โดยในปี ค.ศ. 1979 นักวิจัยได้ถามนักศึกษาที่สำเร็จ MBA กลุ่มหนึ่งว่า "คุณตั้งเป้าหมายอนาคตของคุณที่ชัดเจนโดยเขียนไว้เป็นลายลักษณ์อักษรและวางแผนที่จะทำมันให้สำเร็จหรือเปล่า" ผลปรากฏดังนี้
3% ตอบว่า ได้เขียนเป้าหมายเป็นลายลักษณ์อักษร และมีการวางแผนไว้
13% ตอบว่า มีเป้าหมาย แต่ไม่ได้เขียนเป็นลายลักษณ์อักษร
84% ตอบว่า ไม่มีเป้าหมาย
จากนั้นสิบปีต่อมาคือ ในปี ค.ศ.1989 นักวิจัยได้สัมภาษณ์นักศึกษากลุ่มนั้นอีกครั้ง ผลปรากฏดังนี้ กลุ่ม 13% ที่ตอบว่ามีเป้าหมายแต่ไม่ได้เขียนเป็นลายลักษณ์อักษรนั้นกำลังหาเงินได้โดยเฉลี่ยเป็น 2 เท่าของนักศึกษากลุ่ม 84% ที่ตอบว่าไม่มีเป้าหมาย แต่ที่น่าประหลาดใจมากที่สุดคือ กลุ่ม 3% ที่ตอบว่าได้เขียนเป้าหมายเป็นลายลักษณ์อักษรและมีการวางแผนไว้นั้น สามารถหาเงินได้โดยเฉลี่ยเป็น 10 เท่าของเราทั้งสองกลุ่มที่เหลือ ...นี้คือ อานิสงส์ของการมีเป้าหมายที่ชัดเจน
ดังนั้นนักศึกษาที่กำหนดเกรดคาดหมายไว้ล่วงหน้า เขียนไว้เป็นลายลักษณ์อักษรและมีแผนการที่จะบรรลุมันก็น่าจะประสบความสำเร็จได้เช่นเดียวกันกับกลุ่ม 3% ข้างต้น เพราะการเขียนไว้เป็นลายลักษณ์อักษรคือ การให้พันธะสัญญาไว้กับตัวเอง

ตอน 3 การกินช้างหรือการเดินทางหนึ่งพันลี้
พูดถึงการกินช้างหรือการเดินทางหนึ่งพันลี้ สำหรับคนที่ไม่ประสบความสำเร็จอาจร้องยี้เพราะนึกถึงการกลืนช้างหรือความไกลของระยะทาง แต่สำหรับคนที่ประสบความสำเร็จแล้วจะมองเป็นเรื่องปกติ เพราะมีความอดทนสูง เทคนิคการกินช้างก็คือ การกัดทีละคำ ส่วนเทคนิคการเดินทางหนึ่งพันลี้ก็คือ การเริ่มต้นด้วยก้าวแรก (ขงจื๊อ)
ดังนั้น การทำแบบฝึกความพร้อมก่อนสอบให้ได้ทั้ง 30 ข้อก็เริ่มต้นเพียงข้อเดียว จากนั้นก็ทำต่อทีละหนึ่งข้อเท่านั้น คนที่ประสบความสำเร็จจะนึกถึงวิธีการแก้ไขปัญหาตลอดเวลา ส่วนคนที่ไม่ประสบความสำเร็จจะนึกถึงอุปสรรคเกือบตลอดเวลา

ตอน 4 อานิสงส์ของการมีทักษะ
สมมติว่าเราต้องการหาหนังสือเล่มหนึ่งในห้องสมุด แต่ไม่ทราบว่าอยู่ตรงไหน เราอาจใช้เวลาค้นหาเป็นชั่วโมงในครั้งแรก แต่ในครั้งต่อๆไป เราจะใช้เวลาหาหนังสือเล่มเดิมเพียงไม่กี่นาที เปรียบเสมือนการแก้ปัญหาโจทย์เลขบางข้ออาจใช้เวลานานกว่าจะทำเสร็จ แต่เมื่อพบโจทย์เลขทำนองเดียวกันอีกในครั้งต่อไป ก็จะใช้เวลาทำเพียงไม่กี่นาทีเพราะเรามีทักษะในการแก้ปัญหาโจทย์เลขลักษณะนั้นๆแล้ว การแก้ปัญหาโจทย์เลขเป็นทักษะที่ฝึกฝนได้ การฝึกความพร้อมก่อนสอบจะช่วยให้เราเกิดทักษะและสามารถทำข้อสอบได้ทันเวลา นี่คือ อานิสงส์ของการมีทักษะ

ตอน 5 อุปสรรคของความสำเร็จ
คนส่วนใหญ่ยอมแพ้ตั้งแต่ก่อนที่จะพยายามในครั้งแรกด้วยซ้ำ เหตุผลที่เขายอมแพ้ก็เพราะกลัวอุปสรรคและความล้มเหลว ความจริงก็คือ ทุกเส้นทางสู่ความสำเร็จล้วนมีอุปสรรคและคนที่ประสบความสำเร็จมักจะล้มเหลวบ่อยกว่าคนที่ไม่ประสบความสำเร็จ แต่คนที่ประสบความสำเร็จจะมีความพยายามมากกว่า โปรดจำว่า ไม่มีใครเกิดมา ล้มเหลว มีแต่ ล้มเลิก เสียก่อน
โจทย์เลขข้อหนึ่ง ๆ อาจมีวิธีการแก้ปัญหาได้หลายวิธี หากเรามีความพยายามที่เพียงพอแล้ว ย่อมจะหาหนทางในการแก้ปัญหาโจทย์นั้น ๆ ได้ในที่สุด คนที่ประสบความสำเร็จจะมีความคิดว่า ทุกปัญหามีทางแก้ แต่คนที่ไม่ประสบความสำเร็จมักจะมีความคิดว่า ทุกทางแก้มีปัญหา

ตอน 6 การผัดวันประกันพรุ่งอย่างสร้างสรรค์
กฎ 80/20 บอกว่า 20% ของกิจกรรมจะเป็นตัวกำหนดคุณค่าของกิจกรรมอีก 80% ที่เหลืออยู่ นั่นคือ ถ้าเรามีงาน 10 อย่างที่ต้องทำให้เสร็จ จะมีงานเพียง 2 อย่างที่มีค่ามากกว่างาน 8 อย่างที่เหลือรวมกัน ถ้าเราไม่สามารถทำงานทุกอย่างได้หมดก็ควร ผัดวันประกันพรุ่งในงาน 8 อย่าง เรียกว่า การผัดวันประกันพรุ่งอย่างสร้างสรรค์และฝึกวิธีการทำงานตามหลัก ABCDE ต่อไปนี้
A คือ งานที่สำคัญมาก และมีผลกระทบอย่างรุนแรงต่อความสำเร็จ
B คือ งานที่สำคัญรองลงมา หากไม่ทำจะมีผลกระทบน้อยกว่า A
C คือ งานที่น่าทำ หากไม่ทำก็ไม่เป็นไร เช่น การอ่านหนังสือพิมพ์ เป็นต้น
D คือ งานที่อาจมอบให้คนอื่นทำแทนได้ เพื่อนำเวลาไปทำงาน A
E คือ งานที่ไม่สำคัญ หากไม่ทำก็ไม่มีผลกระทบใดๆเกิดขึ้น
คนที่ประสบความสำเร็จจะทำงาน A ก่อนเสมอ หากงาน A มีหลายอย่างก็ทำทีละอย่าง โดยเลือกงานที่ใช้เวลาที่สั้นที่สุดก่อน เพื่อเป็นรางวัลและให้กำลังใจสำหรับการทำงานสำคัญที่สุดชิ้นต่อไป การผัดวันประกันพรุ่งงาน A คือ การล่อลวงตัวเองให้พ้นจากเส้นทางแห่งความสำเร็จ ยกเว้นการผัดวันประกันพรุ่งอย่างสร้างสรรค์เท่านั้นจึงจะเป็นบันไดพาเราไปสู่ความสำเร็จได้

ตอน 7 ความท้อแท้ที่หัดจนเป็นนิสัย
คนที่ท้อแท้จนเป็นนิสัยจะรู้สึกว่าตัวเองไม่สามารถบรรลุเป้าหมายหรือพัฒนาชีวิตให้ดีกว่าเดิมได้ ไม่ว่าจะเริ่มต้นด้วยการทำอะไรก็ตาม มักจะคิดก่อนเสมอว่า ฉันทำไม่ได้ ฉันทำไม่เป็น ฉันไม่มีเวลา ฉันไม่...ฉันไม่...ฉันไม่... และจะมีเหตุผลมาสนับสนุนโรคท้อแท้ของตัวเองเสมอ เรียกว่า ความท้อแท้ที่หัดจนเป็นนิสัย ซึ่งมักจะเกิดกับคนที่ชอบสาปแช่งตัวเอง
วิธีเอาชนะนิสัยท้อแท้เรื่องการเรียนก็คือ ให้ตั้งเกรดคาดหมายระดับ D และวางแผนทำแบบฝึกความพร้อมก่อนสอบให้ได้อย่างน้อย 15 ข้อจาก 30 ข้อ เมื่อทำได้ระดับนี้แล้ว ต่อไปก็ตั้งเกรดคาดหมายให้สูงขึ้นและวางแผนทำแบบฝึกความพร้อมก่อนสอบให้ได้มากขึ้นตามไปด้วย นาน ๆ เข้าความท้อแท้ก็จะอ่อนกำลังลง และความมั่นใจก็จะเพิ่มขึ้นมาแทน จงนึกถึงคำตอบของการกินช้าง เราจะเดินไปสู่เป้าหมายด้วยการก้าวทีละก้าว เพิ่มทักษะทีละอย่าง และพัฒนาไปทีละขั้น

ตอน 8 ความพากเพียรคือเครื่องหมายของความสำเร็จ
ความพากเพียรเป็นสิ่งที่รับประกันได้ว่าจะนำพาเราไปสู่ความสำเร็จ แม้พรสวรรค์หรือความอัจฉริยะก็ไม่อาจสู้ความพากเพียรได้
ไมเคิล จอร์แดน นักบาสเกตบอลที่มีความสามารถคนหนึ่ง เคยกล่าวไว้ว่า ทุกคนมีพรสวรรค์ แต่ความสามารถต้องอาศัยความพากเพียร
จอห์น ดี ร็อกกีเฟลเลอร์ บุรุษที่ร่ำรวยที่สุดคนหนึ่งของโลก ได้เขียนไว้ว่า ผมไม่คิดว่าจะมีคุณสมบัติอื่นใดที่สำคัญต่อความสำเร็จมากเท่ากับความพากเพียร มันเอาชนะได้แทบทุกอย่างแม้แต่ธรรมชาติ
ขงจื๊อ เคยกล่าวไว้เมื่อสองพันกว่าปีมาแล้วว่า ชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเราไม่ใช่อยู่ที่การไม่เคยล้ม แต่อยู่ที่การลุกขึ้นทุกครั้งที่เราล้ม
โธมัส เอดิสัน ผู้ที่ล้มเหลวในการทดลองมากกว่าคนอื่น ๆ เคยกล่าวไว้ว่า เมื่อผมตัดสินใจเต็มร้อยว่าผลลัพธ์นั้นควรค่าต่อการไขว่คว้า ผมจะมุ่งไปหามันและทำการทดลองครั้งแล้วครั้งเล่าจนกว่าจะประสบความสำเร็จ
ดังนั้น คุณสมบัติเดียวที่รับประกันความสำเร็จทั้งในเรื่องการเรียน และการทำงานของเราก็คือ ความพากเพียรหรือความตั้งใจที่จะเกาะติดอยู่กับเป้าหมายอย่างเด็ดเดี่ยว

ตอน 9 การลงทุนเวลาเพื่อเกรด A
การได้เกรด A ต้องลงทุนด้วยเวลา โดยเกรด A มาจากการทำข้อสอบให้ได้อย่างน้อย 27 ข้อจาก 30 ข้อ ข้อหนึ่งๆ หากเรามีทักษะแล้วจะใช้เวลาทำ 2 - 3 นาที แต่ถ้าขาดทักษะแล้วก็อาจจะต้องใช้เวลาทำข้อละ 10 - 30 นาที ดังนั้น 30 ข้อก็ใช้เวลา 5 - 15 ชั่วโมง หากมีเวลาฝึกวันละ 1 ชั่วโมงก็ใช้เวลา 5 - 15 วัน และหากมีเวลาฝึกวันละ 2 ชั่วโมงก็ใช้เวลา 3 - 7 วัน และเวลาที่ใช้ในการฝึกยังขึ้นอยู่กับพื้นความรู้เดิมของเราแต่ละคนด้วย สำหรับการลงทุนเพื่อเกรด B, C, D ก็ใช้แนวทางเดียวกันนี้ สำหรับเกรด F ไม่ต้องลงทุนด้วยเวลาเลย
ดังนั้น การรู้เวลาในการลงทุนจะประกันให้เราต้องเตรียมตัวทั้งร่างกายและจิตใจ โปรดจำว่า เกรด A ไม่ได้ได้มาโดยบังเอิญแบบถูกหวย แต่ได้มาจากความพากเพียรของตัวเราเอง

ตอน 10 การพัฒนาชีวิต
Keep Open Mind to Learn ฟ้ามิได้แบ่ง ยอดคน กับ คนธรรมดา ออกจากกัน ยอดคนจะปรากฏขึ้นเสมอ แต่นั้นมิใช่เพราะ ฟ้ากำหนด การที่ยอดคนปรากฏขึ้นมาได้เพราะเขาผ่านการ ฝึกฝน และ เรียนรู้ ที่จะเป็นยอดคน
อัจฉริยะ ไม่ใช่สัตว์ประหลาดที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ แต่เป็นสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมา ไม่มีใครเก่งมาตั้งแต่กำเนิด แต่ต้องได้รับการฝึกฝน เฉกเช่นม้าดีต้องมีคนขี่มาฝึกฝน และนักกีฬาที่ดีต้องมีโค้ชที่ดีมาฝึกฝน
Don't Look Down Yourself ไม่สำคัญว่าในอดีตเราเป็นใคร สำคัญที่ว่าวันนี้เราต้องการเป็นใคร จงเคารพนับถือในความสามารถของตัวเอง ยกย่องและให้เกียรติตัวเอง สมองของคนเราเหมือนพื้นดินที่ว่างเปล่า เมื่อเราปลูกอะไรลงไปเราก็จะได้ผลเป็นอย่างนั้น จงปลูกฝังแต่สิ่งดีๆ ลงไปในสมอง คำพูดใดๆ ที่เราเคยได้ยินซ้ำๆ ซากๆ เกิน 37 ครั้ง มันจะกลายเป็น อุปนิสัย ของเราทันที ดังนั้น จงปลูกฝังแต่สิ่งดี ๆ ลงไปในสมองของเราจนเป็นนิสัย
สิ่งที่น่ากลัวที่สุดในโลกคือ สิ่งแวดล้อม ที่เป็นพิษ อย่าปล่อยให้ความคิดหรือคำพูดของใครบางคนมาตัดสินชีวิตของเรา ในโลกนี้ไม่มีใครมีอิทธิพลกับตัวเรานอกจากตัวเราเอง ชีวิตไม่ใช่เกมกีฬา ไม่มีเวลาพักครึ่ง ไม่มีการขอเวลานอก และที่สำคัญคือ เป็นกีฬาที่เปลี่ยนตัวผู้เล่นไม่ได้ โปรดจำว่า ไม่มีใครเกิดมา ล้มเหลว มีแต่ ล้มเลิก เท่านั้น
เพียงเราคิดว่าตัวเองทำได้ เราก็ทำได้ตั้งแต่คิดแล้ว แต่หากเราคิดว่าตัวเองทำไม่ได้ เราก็ทำไม่ได้ตั้งแต่ที่คิด สิ่งที่เลวร้ายที่สุดของมนุษย์คือ การตอกย้ำตัวเองว่าทำไม่ได้ แม้แต่ คิด ยังไม่กล้าที่จะคิด แล้วชีวิตจะประสบความสำเร็จได้อย่างไร? จงกล้าที่จะเผชิญความล้มเหลว เพราะความล้มเหลวคือ ครูที่ทดสอบความสำเร็จของเรา
มนุษย์ คือจุดศูนย์กลางของเส้นรอบวงที่ไม่มีขีดจำกัด ทำไมเป็นมนุษย์เหมือนกันจึงประสบความสำเร็จไม่เท่ากัน นั่นเป็นเพราะมนุษย์แต่ละคนได้รับโอกาส ทางความคิดที่แตกต่างกัน คนที่สำเร็จ มองปัญหาเป็นโอกาส แต่คนที่ล้มเหลวมองโอกาสเป็นปัญหา คนสำเร็จจะปรับตัวเองไปหาโลกภายนอก แต่คนล้มเหลวจะรอให้โลกภายนอกปรับตัวเข้าหาตัวเอง
ความรู้ เป็นเพียง พลังอำนาจแฝง ชนิดหนึ่ง ความรู้จะกลายเป็นพลังอำนาจที่ยิ่งใหญ่ได้ก็ต่อเมื่อมันถูกนำไปใช้อย่างชาญฉลาดเท่านั้น
ฟังแต่ไม่ได้ยิน ได้ยินแต่ไม่เข้าใจ เข้าใจแต่ไม่ลึกซึ้ง ลึกซึ้งแต่ไม่แตกฉาน แตกฉานแต่นำไปใช้ไม่เป็น จงนำศักยภาพและอัจฉริยภาพที่ซ่อนเร้นในตัวเราออกมาใช้อย่างชาญฉลาด

ตอนจบ คนที่ประสบความสำเร็จเป็นระดับผู้บริหารหรือผู้นำขององค์กรต่างๆ ในโลกนี้ กว่า 85% ล้วนแล้วแต่มิใช่คนเก่ง แต่เป็น คนดี ทั้งสิ้น คนเก่งมักจะมี อัตตา จะไม่ยอมปรับตัวเข้าหาโลก ไม่รับฟังความคิดเห็นของคนอื่น ไม่ยอมรับการพัฒนาความรู้และสิ่งใหม่ๆ ปกครองคนไม่ได้ คนเก่งอาจใช้เวลาไม่กี่ปีก็สอนให้เก่งได้ แต่ ความดี ต้องใช้เวลาสอนกัน ชั่วชีวิต คนเก่งมักจะขาดความจงรักภักดี ไม่มีความกตัญญูรู้คุณ มหาวิทยาลัยกรุงเทพเน้นทั้ง ความรู้ และ ความดี ควบคู่กันไป จึงใช้คำขวัญว่า ความรู้คู่ความดี ขอให้เราตระหนักถึงคำขวัญนี้ และจงนำไปใช้ประกอบการดำเนินชีวิตต่อไป

วันพฤหัสบดีที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2553

มีวิธีสร้างความเข้มแข็งและความเป็นตัวของตัวเอง

เตรียมเสบียงไว้เลี้ยงตัว

ถาม – รู้สึกว่าไม่เป็นตัวของตัวเองนัก เหมือนจิตใจอ่อนแอ ต้องยึดเหนี่ยวแฟนเป็นที่พึ่งทางใจทุกวัน จนบางทีกลายเป็นภาระของเขา รู้ตัวว่าบางทีเป็นที่รำคาญ พอจะมีวิธีสร้างความเข้มแข็งและความเป็นตัวของตัวเองให้มากขึ้นกว่านี้ไหมคะ?

เหตุแห่งความอ่อนแอมีได้มากกว่าที่หลายคนคิด บ้างก็เพราะเรี่ยวแรงน้อย บ้างก็เพราะมุ่งมั่นหาความสำเร็จแต่ล้มเหลวบ่อย บ้างก็เพราะตั้งใจทำอะไรแล้วโลเลเปลี่ยนใจง่าย บ้างก็เพราะขาดความเชื่อมั่นว่าตนสามารถเข้าสังคมได้ บ้างก็เพราะชีวิตราบเรียบสุขสบายจนเฉื่อยชา บ้างก็เพราะขี้เหงาและไม่รู้สึกว่าตัวเองจะอยู่รอดโดยปราศจากที่พึ่งทางกายหรือทางใจได้เลย
โดยธรรมชาติคนเราต้องการเพื่อนคุยที่ถูกอัธยาศัย ต้องการสัมผัสของความรักความอบอุ่น และต้องการการเติมเต็มสิ่งที่ขาดไปในเพศตนด้วยสิ่งที่มีในเพศตรงข้าม การยังไม่มีสิ่งเหล่านั้นคือจุดเริ่มต้นของความเหงา
เมื่อหายเหงาด้วยใครสักคนที่ถูกใจ ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนเพศเดียวกัน หรือเป็นคนรักที่เป็นเพศตรงข้าม เขาอาจเป็นเสมือนยาเสพติด ที่คุณเคยชินกับความสุขจากการเสพ เมื่อไรไม่ได้เสพก็ย่อมเหมือนจะลงแดงเอาง่ายๆ
พฤติกรรมที่มักเกิดขึ้นกับคนถูกใจ จึงเป็นการโทร.คุยหรือนัดพบทุกวัน ถ้าอยู่บ้านเดียวกันเป็นเรื่องเป็นราวแล้วก็เบาแรงทั้งสองฝ่าย แต่หากยังอยู่คนละบ้าน ยังไม่พร้อมจะใช้ชีวิตร่วมกันจริงจัง อย่างนั้นต่างฝ่ายต่างก็ต้องเหน็ดเหนื่อยกับการเดินทางเป็นแน่ และจะยิ่งแย่หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่สะดวกกายหรือไม่สะดวกใจ แต่ถูกคาดคั้นให้ต้องพบกันหรือคุยกันอย่างสม่ำเสมอ
การไม่ได้พบหรือไม่ได้คุยอย่างใจอยาก มักก่อให้เกิดคลื่นความไม่พอใจ ซึ่งอีกฝ่ายจะรู้สึกได้ และอึดอัดเหมือนคนถูกมัดมือมัดเท้าให้ต้องทนอยู่ในกรงซึ่งบางครั้งบางวันอาจไม่สมัครใจ
เมื่อคิดว่าคนรักเป็นยาเสพติด เรารู้ตัวว่าติดยาเกินขนาด เห็นโทษของการเสพติดที่มีผลเป็นทุกข์ทางใจของทั้งเราและเขา ก็อาจกระตุ้นให้คิดได้ว่าควรลดปริมาณการเสพยาลงเสียที หากไม่รู้ตัวว่าติด หากไม่เห็นโทษของการเสพติด คุณก็จะเดินหน้าเสพต่อไปเรื่อยๆโดยไม่ยับยั้งชั่งใจ และในที่สุดก็จะพบว่าความรักความอาลัยเป็นกรงขังจิตให้ติดอยู่กับทุกข์ ติดอยู่กับความกระวนกระวาย โดยมีความสุขวูบวาบเป็นเศษอาหารให้อิ่มแบบหลอกๆเพียงครู่
การเสพติดจนจิตหมกมุ่นนั้น ทำให้อ่อนแอ และตั้งข้อแม้กับตัวเองว่าจะมีชีวิตอยู่รอดได้ ก็ต้องโดยการช่วยเหลือของคนอื่น ฉะนั้นคุณก็ต้องทำอะไรบางอย่างเพื่อแก้ปัญหา จะหวังรอให้ใจเลิกยึดไปเองคงยาก
ทางลัดคงไม่มีอะไรเกินทำบุญ เพราะบุญให้ผลเป็นสุขทางใจ และความสุขทางใจย่อมเป็นกำลังเสริมเติมส่วนที่ขาดพร่องได้เสมอ ยิ่งหากรู้วิธีทำบุญในแบบที่จะก่อให้เกิดความเข้มแข็ง และรู้สึกขึ้นมาว่ามีตนเป็นที่พึ่งแห่งตนก็รอดได้ ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาใคร คุณก็จะลดความทุรนทุรายลง อย่างน้อยก็มากพอจะอยู่คนเดียวสักวันโดยไม่ต้องรบกวนให้ใครโทร.หาหรือมาพบ
ก่อนอื่นขอบอกให้สบายใจว่าวิธีการที่จะแนะต่อไปนี้ ไม่ได้ทำให้คุณคิดอยากเลิกกับแฟน หรือเกิดความอยากทำบุญด้วยอุปเท่ห์วิธีเช่นนี้ตลอดไป ผลที่ได้จริงๆคือการลดความต้องการพึ่งพายาเสพติดในตัวคนรัก ทำให้เป็นอิสระต่อกันมากขึ้น มีโอกาสพักหายใจหายคอ เป็นสุขอยู่กับตัวเองเสียบ้าง
ทางพุทธศาสนานั้น ถือว่าการทำบุญที่จะก่อให้เกิดพลังระดับสูง และให้ผลเป็นความสุขทางใจได้ง่ายๆด้วยเวลาอันรวดเร็ว เห็นจะไม่มีอันใดง่ายกว่านำสิ่งของหรืออาหารไปถวายพระภิกษุถึงวัด หรืออย่างที่รู้จักกันทั่วไปว่าเป็นการ ‘ทำสังฆทาน’ นั่นเอง สังฆทานมีผลใหญ่จริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากทำด้วยความสบายใจ และทำกับผู้มีสง่าราศีแบบพระให้นึกเลื่อมใสได้บ้าง
การทำสังฆทานครั้งนี้เรามุ่งมาที่ใจเป็นหลัก ไม่หวังผลพลอยได้อื่นใดทั้งสิ้น ขอแจกแจงเป็นข้อๆดังนี้
๑) คิดเอง คือคิดว่าจะนำของสำคัญในการดำรงชีพอันใดไปถวาย ไปถวายวัดไหน เมื่อใด ในขั้นนี้ดูเผินๆเหมือนไม่น่าจะมีอะไรยุ่งยาก แต่ความจริงก็คือถ้าคุณไม่เคยตัดสินใจด้วยตัวเอง ก็จะเกิดข้อสงสัย เกิดความไม่มั่นใจ ตลอดจนมีอาการจดๆจ้องๆว่าจะทำดีหรือไม่ทำดี หากวาระแรกอยากทำแล้วตัดสินใจทำดีคนเดียวโดยไม่ปรึกษาใครให้ไขว้เขว ไม่ต้องฟังเสียงใครว่าเอาดีหรือไม่เอาดี คุณได้ชื่อว่าสร้างความเด็ดเดี่ยว ลำพังคนเดียวขึ้นมาสำเร็จแล้ว ชั่วเวลาแค่ไม่กี่วินาที ถ้าคิดได้จริง ตั้งใจได้จริง ก็อาจกลายเป็นจุดเปลี่ยนของชีวิต หากสองสามวินาทีทองนั้นมาถึงก็อย่าช้า รีบฉวยมันไว้ทันที เพราะสองสามวินาทีทองนั้นอาจไม่กลับมาอีกเลยชั่วกาลนาน
๒) เตรียมของเอง คือใช้เงินของตนเอง ห้ามหยิบยืมใคร ของที่จะถวายเป็นสังฆทานนั้น ขอให้จำเป็นในการดำรงชีวิต เช่น สบู่ก้อนเดียวก็เป็นสังฆทานได้ ถ้าจิตคิดไว้ว่าจะถวายแด่สงฆ์ โดยไม่ตั้งข้อจำกัดจำเพาะเจาะจงไว้ก่อนว่าจะถวายพระรูปใด เพราะฉะนั้นคุณน่าจะมีทุนทรัพย์พอ และสามารถซื้อหาได้อย่างสบายใจ ในขั้นนี้ตอนออกไปซื้อของเตรียมถวาย คุณอาจเริ่มรู้สึกสงสารตัวเอง นึกอยากได้ใครสักคนมาช่วย โดยเฉพาะถ้าคิดซื้อหลายๆชิ้น และเคยชินกับการซื้อข้าวของร่วมกับคนอื่น ให้กำหนดจิตตัดใจลงไปเลยว่าเราจะซื้อของโดยไม่ต้องให้คนอื่นมาช่วย กับทั้งจะไม่ปล่อยให้เกิดความคิดสงสารตัวเองอย่างเด็ดขาด ชั่วเวลาเดี๋ยวเดียวคุณน่าจะทำใจได้ไม่ยากอยู่แล้ว หากระวังไม่ให้เกิดความรู้สึกนึกคิดอยากได้คนช่วยเตรียมของได้ตลอดรอดฝั่งกระทั่งซื้อของเสร็จ คุณจะพบว่าใจตัวเองเงียบเชียบ และเริ่มเห็นความเข้มแข็งบางอย่างเกิดขึ้นในตัวเองแล้ว
๓) ไปเองคนเดียว คือถ้าไม่มีรถก็อย่าไหว้วานใครไปส่งทั้งสิ้น ขึ้นรถเมล์หรือนั่งแท็กซี่ไป เพราะนี่ไม่ใช่การทำบุญธรรมดา แต่เป็นการทำบุญเพื่อขอให้เกิดความเป็นตัวของตัวเอง ระหว่างเดินทางให้มีสติ อย่าใจลอย อย่านึกน้อยใจ แล้วก็อย่าให้มีเรื่องรบกวนจิตใจใดๆ ในขั้นนี้คุณจะเริ่มรู้สึกว่าการเดินทางไปทำบุญคนเดียวเป็นอะไรอย่างหนึ่งที่มีความหมาย มีความตั้งใจอย่างหนึ่งเกิดขึ้น มีกรรมอย่างหนึ่งเกิดขึ้น แล้วก็มีเหตุการณ์เกิดขึ้นจริงในบัดนั้น ให้มองว่าการเดินทางไปทำดีตามลำพังเป็นเรื่องธรรมดา ไม่ใช่เรื่องน่ากลัวหรือน่าหดหู่เศร้าสร้อยแต่อย่างใด ชั่วเวลาไม่กี่สิบนาทีทำไมจะตัดใจเลิกคิดหยุมหยิมไม่ได้ คือไม่ใช่ให้เข้าฌานเลิกคิดอะไรหมดนะครับ แต่ถ้ารู้สึกตัวว่าคิดเรื่องที่ทำให้เกิดความเหงา ความหดหู่ ความน้อยเนื้อต่ำใจ หรือความโมโหโกรธาใดๆ จงรีบหยุดและเปลี่ยนเรื่องคิดไปในทางมงคลทันที
๔) ทำเองคนเดียว คืออย่าตั้งความหวังว่าใครที่วัดจะเข้ามาช่วยยกของ ให้นึกถึงการใช้แรง ใช้กำลังของตนเองในการทำบุญครั้งนั้น ในขั้นนี้คุณจะรู้สึกชัดว่าตัวเองเป็นคนแข็งแรง ตั้งความคิดให้แน่วแน่ว่าจะรักษาจิตไว้ให้พึ่งพาตนเอง ไม่เหงา ไม่เศร้า ไม่อยากรับความช่วยเหลือจากใคร (แต่ถ้ามีเด็กวัดหรือใครเขาอยากเข้ามาช่วยเองก็ให้ช่วยไปนะครับ อย่าไปตะเพิดไล่ปฏิเสธน้ำใจเขาล่ะ) คงไม่เหลือบ่ากว่าแรงกับแค่ครึ่งชั่วโมงที่อยู่ในวัด ที่คุณจะอยู่กับความตั้งใจทำอะไรดีๆด้วยตนเองตามลำพังสักครั้ง โดยไม่เห็นว่าตัวเองน่าสงสารกับการไม่มีใครเคียงข้าง
๕) อธิษฐานคนเดียว คือหลังจากถวายสังฆทานเสร็จแล้ว ให้หันไปทางพระประธานหรือพระพุทธรูป นั่งพนมมือตัวตรง ถ้าบรรยากาศเอื้อให้พูดดังๆก็เปล่งวาจาชัดถ้อยชัดคำไปเลยว่า ครั้งนี้เรามาทำบุญได้ด้วยตัวเองโดยไม่พึ่งใคร ก็ขอให้ใจเป็นสุขได้กับตัวเองโดยไม่จำเป็นต้องอาศัยใครอื่นเถิด ถึงตรงนี้คุณจะรู้สึกสงบและเป็นตัวของตัวเองได้อย่างประหลาด ตัวคุณใหญ่กว่าความเหงา และเอาชนะความเหงาได้ง่ายๆแค่นี้เอง
การทำครั้งเดียวอาจให้ผลเป็นความรู้สึกมั่นคงแค่ระยะสั้น ถ้าให้ดีควรทำซ้ำอย่างนี้สัก ๓ ครั้งภายในหนึ่งอาทิตย์ เพื่อให้เกิดการสำทับบุญจนแน่นหนาพอ ไม่จำเป็นต้องไปที่วัดเดียวกัน และไม่จำเป็นต้องทำสังฆทานเท่านั้น ลองไปตามสถานสังคมสงเคราะห์ต่างๆที่เขาเปิดรับบริจาคข้าวของให้แก่ผู้ด้อยโอกาส เพื่อให้รู้สึกว่าได้ทำบุญครบวงจร ก็จะเกิดความเบาสบายและเบิกบานยิ่งๆขึ้น
ภายในอาทิตย์เดียวถ้าทำบุญด้วยตัวเอง ๓ครั้ง คุณจะพบว่าอาการคิดมาก อาการอยากพึ่งพาคนอื่นจะลดลงแบบฮวบฮาบ ที่สำคัญคุณอาจพบว่าตัวเองกลายเป็นแม่เหล็กดึงดูดให้คนอื่นอยากมาพึ่งพาไปเสียแทน
ถ้าการณ์พลิกกลับตาลปัตรอย่างนี้ก็อย่าสงสัยเลย เรื่องของเรื่องนะครับ คนเราชอบอยู่ใกล้ผู้ที่เข้มแข็ง เพื่อดูดซับความอบอุ่น และรับแรงบันดาลใจมาสู่ตน แต่จะไม่ชอบอยู่ใกล้ผู้ที่อ่อนแอ เพราะคุณจะรู้สึกเหมือนเสียพลังงาน และอาจรับกระแสความเกียจคร้านมาเข้าตัวไปด้วย
ผลพลอยได้จากการทำบุญให้มีกำลังใจเด็ดเดี่ยวนี้ จะช่วยให้คุณลดอาการเฉื่อยชาในการทำงานทางโลกได้ด้วย โดยเฉพาะที่เป็นงานหนัก งานยาก เหมือนต้องขอความช่วยเหลือจากคนนั้นคนนี้ ใจคุณจะคิดไปอีกอย่างหนึ่ง คือเห็นว่าแค่นี้เอง ทำคนเดียวก็ได้ และในที่สุดก็ทำได้จริงๆ เรียกความเชื่อมั่นมาให้ตัวเอง
จริงๆอานิสงส์ของการใช้อุปเท่ห์วิธีทำบุญแบบนี้ยังมีอีกมาก เช่นคุณจะเป็นผู้ทำกิจใหญ่สำเร็จได้ด้วยตนเองเป็นหลัก ปรารถนาอะไรจะมีแรงหนุนให้ถึงจุดหมายปลายทางด้วยความภาคภูมิใจในตนเอง แต่เอาเฉพาะกรณีที่กำลังเป็นประเด็นปัญหาของคุณ การทำบุญแบบนี้ จะช่วยให้เห็นว่าความรัก ความติดพันใกล้ชิด เป็นเพียงส่วนประกอบหนึ่งของชีวิต ไม่ใช่ไม่มีแล้วจะเอาชีวิตรอดไม่ไหว ไม่ว่าคนรักของคุณจะเป็นอดีตหรือปัจจุบัน เขาจะไม่มีอิทธิพลทางใจกับคุณมากมายเกินจำเป็นดังเคยแน่นอน
หมายเหตุสำคัญทิ้งท้ายไว้ด้วย การทำบุญร่วมกันเป็นสิ่งน่าสนับสนุน และควรให้มีบ่อยๆ เพราะจะช่วยส่งเสริมสัมพันธภาพทุกรูปแบบให้เป็นไปในทางดี ทั้งวันนี้และวันหน้า คำตอบสำหรับคำถามนี้เป็นแบบเฉพาะเจาะจง แก้ปัญหาความอ่อนแอไม่เป็นตัวของตัวเองและมีภาวะพึ่งพาสูงเท่านั้นนะครับ






ถาม – กำลังกลุ้มใจค่ะ ตั้งใจทำบุญด้วยทุนใหญ่ประมาณหนึ่ง และได้ประกาศกับคนรู้จักให้เป็นที่รับทราบไปแล้ว แต่เกิดอยากเปลี่ยนใจขึ้นมาเพราะรู้สึกว่าต้องใช้ทุนมากเกินไป อีกอย่างมีคนที่นับถือได้ทักท้วงไว้ด้วย อยากทราบว่าจะเป็นบาปมากไหม หรือถ้าไม่บาป บุญจะลดส่วนลงหรือเปล่าคะ?

สำหรับผู้ชายนั้น เริ่มๆการบุญมักมีศรัทธาอ่อนกว่าหญิง แต่ตัดสินใจทำแล้วมักเอาจริง ไม่กลับเปลี่ยนโดยปราศจากเหตุผลอันสมควร ผลที่เกิดกับจิตใจจึงเป็นความหนักแน่น ไม่กลับไปกลับมาง่าย มีความโน้มเอียงจะคิดอะไรเป็นเหตุเป็นผลมากกว่าใช้อารมณ์
ส่วนผู้หญิงมักศรัทธาแรงในเบื้องต้น ใจประเภทอยากทุ่มหมดตัว มีอะไรให้หมดนี่เกิดขึ้นได้ปุบปับเลย แต่ระหว่างกำลังรอทำ หรือทำเสร็จไปแล้ว มักหวนคิดกลับไปกลับมา เกิดความลังเลเสียดาย โดยเฉพาะถ้าเบื้องแรกไปตั้งใจไว้เสียสูงลิบ
ยิ่งตั้งใจสูงเท่าไรแล้วเปลี่ยนใจภายหลัง จะยิ่งเท่ากับคุณเพาะนิสัยโลเลเอาแน่เอานอนไม่ได้ไว้มากขึ้นเท่านั้น บุญน่ะได้นะครับ ได้รับผลบุญแน่ แต่จะเป็นประเภทที่ให้ผลไม่แน่นอน แล้วใจก็เต็มไปด้วยความไม่แน่นอนด้วย ในคัมภีร์ท่านถึงว่าการทำบุญด้วยจิตใจหวั่นไหวนั้น เป็นลักษณะของหญิง เมื่อจะเสวยบุญจึงเสวยในอัตภาพของหญิง (แต่ถ้าชอบใจความเป็นหญิงแล้วทำบุญอธิษฐานให้เป็นหญิงผู้เลิศด้วยอายุ วรรณะ สุขะ พละ ก็เป็นอีกกรณีหนึ่งนะครับ)
ถามว่าบาปไหม? คุณไม่ได้ทำผิดคิดร้ายอะไร นี่เป็นเรื่องของการเปลี่ยนใจกลางคัน แต่ตัวที่ทำให้เปลี่ยนใจจะเป็นอะไรถ้าไม่ใช่ความตระหนี่ อันเป็นเกลอแก้วของความโลภ กรรมใดๆที่เจืออยู่ด้วยความโลภย่อมมีมลทิน อย่างน้อยก็ทำให้ไม่สบายใจเห็นๆล่ะ
อันที่จริงถึงแม้ทำตามความตั้งใจแรกคุณก็คงไม่ถึงกับหมดตัวล่มจมอะไร เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นคงไม่คิดตั้งแต่ต้นแล้ว ขอให้คิดเสียว่าครั้งนี้เป็นการลงทุนทางใจก็แล้วกัน อย่าไปตีค่าเป็นจำนวนเงิน ให้ตีค่าเป็นความหนักแน่นทางใจแทน จะได้เห็นความคุ้มค่าในการรักษาสัจจะ แล้วจำไว้เป็นบทเรียนสำหรับคราวต่อไป ตั้งต้นขึ้นมาต้องให้พอดี แน่ใจว่าจะไม่รู้สึกเสียดายในภายหลัง การทำบุญจะได้เป็นไปเพื่อความสุขทั้งก่อนทำ ขณะทำ และหลังทำครับ
เมื่อทำตามความตั้งใจแรกได้สำเร็จนะครับ สังเกตความรู้สึกที่ต่างไป คุณจะคิดหยุมหยิมน้อยลง และอาจกลายเป็นคนตัดสินใจได้เด็ดขาดขึ้นกว่าเดิม เรื่องทำบุญนั้นชาวบ้านมักนึกว่าเป็นเรื่องเล็ก แต่คนเข้าใจเรื่องกรรมวิบากจะเห็นว่าเป็นเรื่องใหญ่ เพราะมันเป็นปัจจัยควบคุมชีวิต มีสิทธิ์กำหนดทิศทางความรู้สึกนึกคิดและเส้นทางรับชะตากรรมของเราได้ ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นที่ควรดูเบาแต่อย่างใดครับ


ถาม – เป็นคนโกรธแรง และย้ำคิดได้เป็นวัน โดยเฉพาะตอนถูกเอาเปรียบ แม้กระทั่งโดนแย่งที่จอดรถก็โกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงจะเอาเรื่องเอาราวกับเขา พอเสร็จแล้วค่อยคิดได้ว่าไม่น่าเปลืองแรงขนาดนั้น ถ้าหาที่ใหม่ก็ใช้กำลังน้อยกว่ามาก ผมเป็นคนคิดได้ แต่มักจะไม่ทันการณ์ คือคิดได้หลังจากผ่านไปแล้วเป็นวัน อย่างนี้จะแก้ไขอย่างไรดีครับ?

ถ้าอย่างนั้นคงพึ่งความคิดไม่ได้ครับ คราวหน้าพอโกรธปุ๊บ ให้รีบหาใครสักคนที่ต้องการความช่วยเหลือ เช่นถ้าเห็นคนกำลังเข็นรถที่กำลังขวางทางออกของเขา ก็ปรี่เข้าใส่ทันที
เมื่อช่วยเขาเข็น เห็นเขายิ้มยินดีขอบคุณ สัมผัสรับรู้ความสุขความยินดีเล็กๆน้อยๆ โดยที่คุณไม่มีโอกาสได้รับผลตอบแทน คุณจะเกิดความสุขอย่างแท้จริงขึ้นมาขณะหนึ่ง ที่ตรงนั้นให้คิดว่านั่นเป็นการให้คนอื่นได้เปรียบคุณเหมือนกัน แต่คุณกลับเป็นสุขได้ นั่นก็เพราะความเต็มใจจะให้
ความแตกต่างอยู่ตรงนี้แหละครับ คนเราเคยชินที่จะเอา ไม่เคยชินที่จะให้ ไม่ชอบทำทาน หรือทำทานไม่ครบวงจร ถ้าใจเป็นทาน อย่างที่ท่านเรียกว่า ‘ทานจิต’ เกิดขึ้นเป็นปกติแล้วล่ะก็ จะพบว่าปัญหาทางใจหลายๆอย่างคลี่คลายไปในทันทีที่ ‘เกิดเรื่อง’ ขึ้นเลยทีเดียว
อีกประการหนึ่ง คุณจะพบด้วยความทึ่ง ว่ายิ่งคุณอภัยมากเท่าใด เส้นทางโคจรของคุณก็จะยิ่งออกห่างนักเอาเปรียบมากขึ้นเท่านั้นด้วยครับ
ให้นักเอาเปรียบเขาเจอกันเองบนเส้นทางแห่งการแย่งชิง กับการไม่ให้อภัยซึ่งกันและกันไปเถอะ คุณขอตัวแยกออกมาอยู่อีกโลก อีกเส้นทางโคจรก็แล้วกัน

ดังตฤณ
มกราคม 2550

เตรียมเสบียงไว้เลี้ยงตัว - ดังตฤณ

ถาม – คนบางคนมีแรงดึงดูดสูงและมีอำนาจชักจูงคนจำนวนมาก ดังที่ฝรั่งเรียก ‘คาริสม่า’ (charisma) เหมือนอย่างเช่น อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ที่เหนี่ยวนำประชาชนที่กำลังสิ้นหวัง ให้กลับฮึกเหิมและลุกฮือขึ้นเป็นพวกคลั่งชาติ กับทั้งเปลี่ยนเยอรมนีจากสภาพผู้แพ้สงครามโลกให้กลายเป็นประเทศมหาอำนาจได้ หรืออย่างหญิงชายที่มีอำนาจตรึงใจคนราวกับโดนคุณไสย เหมือนมีพลังบังคับให้คนที่ใกล้ชิดอยากบอกว่ารักและอยากอยู่ด้วยตลอดไป แม้ว่านิสัยใจคอจะก้าวร้าวและไม่น่าติดใจเอาเลย แต่กลับเป็นที่จดจำ ลืมยาก และอาลัยโหยหา อย่างนี้มาจากการสั่งสมกรรมแบบไหนคะ?

พวกมีคาริสม่าสามารถให้คุณให้โทษ ทั้งกับตัวเองและโลกได้มากเท่ามาก หากชาติไหนน้ำหนักกุศลดลใจให้คิดดี ก็อาจเหวี่ยงตัวขึ้นไปเป็นศาสดาได้ แต่หากชาติไหนน้ำหนักอกุศลครอบงำจิต ก็อาจกลายพันธุ์ไปเป็นจอมซาตานได้ไม่ยากเช่นกัน

ก่อนอื่นมานิยามคำว่า ‘คาริสม่า’ กันให้ชัดเฉพาะในที่นี้นะครับ ว่าเราพูดถึงคนมีแรงดึงดูดสูงผิดธรรมดา และไม่จำกัดเฉพาะว่าเป็นพวกผู้นำการปกครองหรือศาสดาใดๆ แต่เหมารวมไปถึงชายหญิงที่เสน่ห์แรงผิดปกติ ใครเห็นเป็นต้องหลงใหลคลั่งไคล้ อาจจะในทันที หรือเพียงพบปะพูดคุยหนสองหน

ตัวตนของพวกมีคาริสม่าเหมือนแม่เหล็กทรงพลัง คุณจะมองไม่เห็น กับทั้งไม่รู้สึกหรอกว่าแรงดึงดูดจากเขาและเธอมันส่งออกมาจากตรงไหน เพราะทั้งหมดที่เป็นเขาและเธอนั่นเองคือแรงดึงดูด ทันทีที่คุณเห็นเขาหรือเธอ อย่างน้อยต้องจ้องมองด้วยความพิศวง หรือรู้สึกพิเศษผิดธรรมดาสักอึดใจหนึ่ง

กรรมที่ทำให้น่าสนใจย่อมเป็นไปในฝ่ายบุญกุศล และการมีคาริสม่าก็มักจะเป็นกระแสกรรมที่สืบเนื่องในทางเดียวกันตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบัน บรรดาบุญที่ผมจะกล่าวถึงต่อไปนี้เพียงข้อใดข้อหนึ่งอาจยังไม่เข้าขั้นก่อให้เกิดคาริสม่า ต้องหลายๆข้อประกอบกันจึงให้ผลชัด

๑) บุญอันเกิดจากการเป็นผู้ยินดีริเริ่มทำดีก่อนใคร บุญชนิดนี้จะตกแต่งให้รูปร่างหน้าตาแตกต่างจากคนทั่วไป คือมีบางอย่างที่โดดเด่นขึ้นมา อาจไม่ได้สวยหล่อเป็นพิเศษ แต่อย่างน้อยต้องดูดี มีความสง่าแบบที่ชวนให้หมู่ชนเชื่อว่าเป็นผู้นำได้ ฝากความหวังได้ หรือเป็นที่พึ่งให้กับพวกตนได้

รูปร่างหน้าตาเป็นสิ่งที่จับต้องได้และมีความคงทน ฉะนั้นรูปร่างหน้าตาจึงมักสะท้อนบุญหรือบาปที่ทำเป็นประจำ ทำอย่างสม่ำเสมอในอดีตชาติ หากปัจจุบันชาติยังคงสืบสายกรรมแบบเดียวกันนั้น ก็ย่อมเป็นไปด้วยกัน เข้ากันได้อย่างกลมกลืน คือทั้งกายและจิตฉายรัศมีไปในทางเดียวกัน สัมผัสด้วยตาเปล่าก็เชื่อแล้วว่าหุ่นอย่างนี้นำคนได้

นอกจากผลที่เกิดทางกายแล้ว บุญชนิดนี้ยังให้ผลทางใจอีกด้วย กล่าวคือพวกเขาจะ ‘กล้าแตกต่าง’ ไม่กลัวที่จะแตกแถว โดยเฉพาะเมื่อมั่นใจแล้วว่าเป็นการแตกออกมาจากแถวที่เลว

พวกที่กล้าแตกต่างมักสามารถทำเรื่องธรรมดาให้ไม่ธรรมดาได้ ถ้าคุณเคยกินแกงจืดหรืออาหาร ‘ธรรมดา’ อื่นๆ แต่รสชาติไม่ธรรมดา ก็คงเดาได้ว่านั่นสะท้อนถึงกรรมวิธีที่แตกต่าง และสิ่งที่ทำให้กรรมวิธีแตกต่างกันก็คือวิธีคิดของแต่ละคน ผู้ที่ทำของธรรมดาให้ไม่ธรรมดาได้ ย่อมชื่อว่าเป็นคนพิเศษ และคุณก็รู้สึกถึงความพิเศษจากกระแสความเป็นเขาได้เพียงพบปะพูดคุยไม่นาน

๒) บุญอันเกิดจากความตั้งใจจริงหนักแน่น คือเมื่อคิดอนุเคราะห์เหล่ามนุษย์และสัตว์จะมุ่งมั่นทำให้สำเร็จ แม้ต้องผ่านความยากลำบากและอาศัยระยะเวลายาวนานเพียงใด ใจจะเล็งอยู่แต่เป้าหมายเท่านั้น ไม่ถึงไม่เลิก และไม่นำพากับอุปสรรคที่ขวางทางอยู่

ความพากเพียรจนสำเร็จโดยไม่วอกแวก มีความข่มใจ มีความอดกลั้นต่อการยั่วยุให้เขวออกนอกทาง ก็เหมือนการทำสมาธิอย่างหนึ่ง ยิ่งหนักแน่นแน่วแน่ จิตก็ยิ่งตั้งมั่นรวมเป็นดวงใหญ่ และตามธรรมชาติของจิตแล้ว ยิ่งมีความใหญ่ขึ้นเท่าใด ก็ยิ่งข่มจิตที่เล็กกว่าให้ยอมพินอบพิเทาได้มากขึ้นเท่านั้น

ผู้นำระดับแม่ทัพต้องมีบุญชนิดนี้มากๆ จิตจึงมีอานุภาพสูง ผลของบุญเมื่อเอามาใช้ในทางบาปอาจอยู่ในรูปของความเหี้ยมเกรียม เด็ดขาด หรือดื้อจะเอาอย่างใจให้ได้ แต่ความเหี้ยมเกรียมและความดื้อก็อาจหมุนกลับมาเป็นปัจจัยหนุนความดี เมื่อใดอยากทำดีก็ทำเต็มที่อีกเหมือนกัน

พวกที่เด็ดขาดทั้งทางดีทางร้ายมามากมักมีรัศมีแรงสูง มีความน่ายำเกรง ถ้าบวกเข้ากับการเป็นคนช่างคิดช่างฝัน มีความปรารถนาอย่างรุนแรงที่จะทำให้ความฝันเป็นจริง ก็มักรู้สึกชัดเจนจากข้างในว่าโลกนี้ต้องเป็นไปตามจินตนาการของข้า คือนึกอยากให้เกิดอะไรขึ้น ก็มักเกิดสิ่งนั้นขึ้นมาจริงๆ คุณอาจเคยตกอยู่ใต้อำนาจการเหนี่ยวนำทางจิตของคนอื่นมาก่อน เช่น คุณอยากบอกว่า ‘ไม่’ แต่รู้สึกถึงพลังกดดันให้ต้องตอบว่า ‘ก็ได้’ หรือคุณยังไม่พร้อมโทร.หาใคร แต่รู้สึกเหลือฝืนต้าน ต้องโทร.หาเขาเดี๋ยวนั้น ซึ่งก็ตรงกับความต้องการของเขาพอดี

พวกมีคาริสม่ามักรักแรง แค้นแรง และชอบสะกดจิตคนอื่นด้วยมโนนึกของตนเอง ลักษณะภายนอกของคนพวกนี้มักมีดวงตาดำใหญ่ ฉายอารมณ์ชัด และชอบจดจ้อง การที่จิตเขาแรงจะทำให้ตัวเขาแจ่มชัด และคงเส้นคงวาในมโนภาพของคนอื่น ลองหลับตานึกถึงคนที่คุณเห็นมา จะพบว่ามีระดับความชัดเจนต่างกัน และที่ชัดสุดก็ได้แก่พวกมีคาริสม่านี่เอง

อนึ่ง พลังทางอารมณ์ที่เข้มข้นอาจทำให้พวกเขาดูเหมือนสติดี แต่ความจริงเป็นความสามารถจดจ้องสิ่งใดสิ่งหนึ่งอย่างต่อเนื่อง เมื่อเลิกจดจ้องก็อาจเหม่อลอยขาดสติได้อย่างคนทั่วไป ยกตัวอย่างเช่น คนธรรมดาทั่วไปอาจรู้สึกว่าตัวเองโกรธ แต่ไม่เป็นหนึ่งเดียวกับความโกรธ ส่วนพวกมีพลังทางอารมณ์เข้มข้นจะโกรธด้วยจิตที่แค้นแรง และอาจมีอานุภาพคุกคามข่มขวัญให้คู่แค้นรู้สึกเหมือนเผชิญปีศาจที่น่าพรั่นพรึง แต่เมื่อหลุดจากภาวะโกรธนั้น เขาจะดูเหมือนคนธรรมดาไร้พิษสง ไม่คล้ายปีศาจแต่อย่างใด

ว่ากันว่าฮิตเลอร์นั้น เมื่อเดินเข้าห้องประชุมทหารระดับปกครอง เหล่าทหารใหญ่มักรู้สึกเหมือนมีไฟช็อตอ่อนๆ แสดงให้เห็นถึงขุมพลังที่โชนออกมาอย่างแรงกล้าของฮิตเลอร์ ที่คุกคามขวัญได้แม้แต่ทหารใจเหี้ยมด้วยกัน

แต่ความจริงก็คือฮิตเลอร์เป็นคนอบอุ่นที่ดูไม่น่ากลัวอะไรเลยสำหรับครอบครัวและคนที่เขารัก นั่นแสดงให้เห็นว่า อยู่กับทหารเขาตั้งจินตนาการเกี่ยวกับตนเองไว้อย่างหนึ่ง ต่อเมื่ออยู่กับคนที่เขาจะเป็นตัวของตัวเองจริงๆ จินตนาการก็จะแปรไปเป็นอีกอย่างหนึ่ง

และเช่นกัน คุณอาจตกอยู่ในบ่วงพิศวาสของชายหรือหญิงสักคน หลงนึกว่าเขาเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ มีจินตนาการเลิศลอยชวนพิศวงราวกับเทพบุตรเทพธิดา แท้จริงอาจเป็นแค่จินตนาการของเขาหรือเธอที่สามารถเหนี่ยวนำให้คุณเห็นไปอย่างนั้น และคุณก็หลงเชื่อ หลงรู้สึกไปอย่างนั้นแบบถอนตัวไม่ขึ้น

๓) บุญที่เคยทำธรรมะให้น่าสนใจ ธรรมะในที่นี้หมายถึงความเชื่อดีๆ ความรู้ดีๆ สัจจะความจริงดีๆ ที่ทำให้คนทั้งหลายหันมาใฝ่บุญใฝ่กุศล เพราะฉะนั้นจะเป็นธรรมะในศาสนาพุทธหรือลัทธิความเชื่ออื่นใดไม่สำคัญ สำคัญที่พาคนไปทางดีได้ก็แล้วกัน

แนวการเผยแผ่ธรรมะของแต่ละคนผิดแผกแตกต่างได้ลิบลิ่ว บางคนก็ใช้วิธียัดเยียด บางคนก็ใช้วิธีบังคับข่มขู่ บางคนก็ใช้วิธีอนุโลมเอาใจ บางคนก็ใช้วิธีผ่อนคลายด้วยอารมณ์ขัน บางคนก็ใช้วิธีเหนี่ยวนำให้สนใจด้วยอุบายแยบคาย แน่นอนว่าบุญที่เกิดขึ้นจากการเผยแผ่ธรรมะด้วยวิธีต่างๆย่อมไม่เหมือนกันไปด้วย

ว่ากันเฉพาะวิธีเผยแผ่ธรรมะด้วยวิธีเหนี่ยวนำให้สนใจ ถ้าใครทำสม่ำเสมอ ไม่ต้องรอชาติหน้าจะเห็นได้ชัดว่าตัวตนของเขามีแรงดึงดูดเป็นแม่เหล็กกันได้แล้ว ส่วนจะเป็นแม่เหล็กอ่อนๆหรือแม่เหล็กแรงๆ ก็ขึ้นอยู่กับบารมีหลายๆด้านประกอบกัน

พวกทำธรรมะให้น่าสนใจนั้น ในชาติถัดมามักมีความคิดสร้างสรรค์สูง บางครั้งก็มาในรูปของนิสัยชอบสร้างความอลังการน่าตื่นตาตื่นใจกับมวลชน เหมือนเช่นที่ฮิตเลอร์สร้างสัญลักษณ์ประกาศความยิ่งใหญ่อย่างอินทรีเหนือสวัสดิกะ แผ่ปีกบรรเจิดอยู่ในรัฐสภา ชวนให้นึกถึงความเป็นจักรพรรดิโลก ความคิดสร้างสรรค์พันลึกชนิดนั้น ก็กลายมาเป็นส่วนหนึ่งในกระแสจิตของเขา ไปที่ไหนภาพความเป็นอินทรีเหนือสวัสดิกะย่อมติดตามเขาไปด้วยทุกหนทุกแห่ง

นอกจากทำธรรมะให้น่าสนใจแล้ว คงต้องเหมารวมการทำธรรมะให้แจ่มแจ้งด้วย หากเคยฝึกแจกแจง ฝึกทำให้คนฟังเกิดความเข้าใจธรรมะอย่างชัดเจนเสมอๆ ชาติถัดมาจะ ‘พูดเป็น’ โดยไม่ต้องหัด หรือ ‘พูดเก่ง’ โดยสัญชาตญาณ คือมีน้ำเสียงชัดใส ผูกประโยคได้เข้าใจง่าย ไม่วกวน เป็นเหตุเป็นผล ไม่เลื่อนลอย ไม่คลุมเครือ และมักสั่งอารมณ์ในขณะพูดได้ ว่าจะให้อารมณ์ของตนกลายเป็นอารมณ์ร่วมของคนฟังหมู่มากแบบไหน

ถ้อยคำและวิธีพูดเป็นส่วนประกอบสำคัญของคาริสม่าแบบผู้นำ เพราะต่อให้กระแสจิตเป็นแม่เหล็กแรงเพียงใด ก็ไม่มีทางโน้มน้าวใจใครได้โดยปราศจากการใช้คำพูดอย่างเด็ดขาด

๔) บุญอันเกิดจากความเชื่อมั่นในความดีงาม คือเมื่อศรัทธาในคำสอนหรือกรอบความประพฤติที่เห็นว่าเป็นคุณ เป็นประโยชน์ เป็นความสุขต่อตนเองและต่อโลกแล้ว ก็ไม่กลับเปลี่ยนง่ายๆ โดยเฉพาะเมื่อตั้งใจถือศีลให้สะอาดบริสุทธิ์ ก็สามารถทำได้จริงๆตลอดชีวิตแม้ต้องเผชิญเครื่องลองใจมากมาย

การเป็นผู้ไม่โอนอ่อนตามการหลอกล่อ ไม่หูเบากับเสียงยั่วยุ แต่มีหลักการพิจารณาที่แยบคายของตนเอง อาศัยปัญญาของตนเองเป็นเครื่องตัดสินขั้นสุดท้าย ล้วนแล้วแต่นำมาซึ่งความเป็นตัวของตัวเอง

ศรัทธาที่ตั้งมั่นไม่คลอนแคลนในบุญ จะเป็นเกราะกั้นตนเองจากอิทธิพลภายนอก และแม้ยังไม่เกิดใหม่ก็จะเป็นตัวของตัวเอง กระทั่งแรงชักจูงของพวกที่มีคาริสม่าด้วยกันก็ทำอะไรไม่ได้ เช่น ถ้าจะเคารพนับถือใคร จะไม่ใช่ด้วยอคติ คือไม่ใช่ด้วยความรัก ไม่ใช่ด้วยความชัง ไม่ใช่ด้วยความกลัว และไม่ใช่ด้วยความโง่เขลา แต่เคารพนับถือเพราะเห็นคุณงามความดีบางอย่างของเขา

โดยมากพวกมีคาริสม่าจะดูเชื่อมั่นในตนเองแบบเกินๆพอดี แต่พวกมีคาริสม่าขั้นสุดยอดจะเป็นแบบสูงสุดคืนสู่สามัญ เพราะสามารถเห็นคุณงามความดีของทุกคน สามารถให้ความนับถือได้แทบทุกคน จึงกลายเป็นผู้มีความอ่อนน้อมถ่อมตนอย่างยิ่ง ความอ่อนน้อมถ่อมตนอันเกิดจากปัญญาจัดเป็นตบะบารมีชนิดหนึ่ง ไม่ใช่ความอ่อนแอแต่อย่างใด

ถาม – เคยได้ยินมาว่าถ้ามาจากสวรรค์ ตายไปแล้วก็จะกลับสู่สวรรค์ หรือมีแนวโน้มว่าจะได้กลับสวรรค์มากกว่าคนอื่น ไม่ทราบข้อเท็จจริงเป็นอย่างไรครับ?

ก็มีส่วนอยู่เหมือนกันครับ คือพวกที่เพิ่งละจากความเป็นเทพลงมาสู่ความเป็นมนุษย์นั้น น่าจะติด ‘นิสัยสวรรค์’ บ้างไม่มากก็น้อย เพราะลงถ้าเคยมีบุญขนาดขึ้นไปเสวยสวรรค์ ก็น่าจะส่องสะท้อนว่าเคยประพฤติชอบประพฤติควรไว้มากมายก่ายกอง ดังนั้นพอกลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีก ก็จัดว่ามีทุนเก่ามาสร้างกำไรบุญครั้งใหม่มากกว่าชาวบ้านชาวช่องเขา

อย่างไรก็ตาม ถ้าบุญเก่าสู้กิเลสใหม่ไม่ไหว ประตูสวรรค์ก็ปิดสนิทได้เหมือนกัน คนเราเกิดมาเท่ากันอยู่อย่าง คือไม่มีใครรู้เรื่องราวอดีตหนหลัง ไม่มีใครรู้ด้วยตนเองว่าบุญเป็นเหตุแห่งสุข บาปเป็นเหตุแห่งทุกข์ สิ่งที่คนทั้งโลกเชื่อถือและยึดมั่นตรงกัน ก็คือถ้าเอาให้ได้อย่างใจเดี๋ยวนี้ถึงจะเป็นสุข แต่ถ้าไม่ได้อย่างใจเดี๋ยวนี้จะเป็นทุกข์ เงื่อนไขอันน่าสลดใจประการนี้แหละ ที่ทำให้เหล่าเทวดาตกสวรรค์กลับสวรรค์กันไม่ค่อยถูก

ถ้าคุณอยู่เฉยๆ ไม่รู้ไม่ชี้ ไม่ยินยลสนใจอะไรเลยสักพักเดียว สิ่งที่จะเกิดขึ้นคือจิตที่เศร้าหมอง หดหู่ ฟุ้งซ่านสารพัด หรือถ้าคุณไม่ตั้งใจไว้ล่วงหน้าอย่างมั่นคงว่าจะรักษาศีล ในที่สุดคุณจะพบตัวเองอยู่ภายใต้แรงกดดันให้กระทำผิดแล้วๆเล่าๆ ใจอ่อนไม่กล้าสู้กิเลสซ้ำๆซากๆ

นั่นแปลว่าธรรมชาติของจิตนั้นไหลลงต่ำ โลกนี้ไม่ได้มีแต่แรงดึงดูดวัตถุให้ติดอยู่กับแผ่นดิน ทว่ายังมีแรงดึงดูดจิตให้ติดอยู่ในห้วงความมืดมิดแห่งกองกิเลสอีกด้วย ไม่ว่าเคยมาจากที่สูงแห่งไหน เมื่อคุณตกเข้ามาอยู่ภายใต้แรงดึงดูดของโลกนี้ คุณจะอยู่เฉยไม่ได้ ต้องขวนขวายตะเกียกตะกายขึ้นสูงอยู่ตลอดเวลา จึงอาจรอดพ้นแรงดึงดูดแห่งขุมกิเลสมหาภัยไปเสียได้

พูดง่ายๆ หากมองกันที่จิตนะครับ จิตที่เคยสั่งสมบุญไว้มากในปางก่อน ย่อมมีบุญเก่าเตือนให้ต่อบุญ แต่ไม่เป็นประกันว่าจะกระตุ้นให้ขยันต่อบุญได้ทั้งชาติ ความขยันทำบุญไม่อาจเกิดขึ้นด้วยความบังเอิญ แต่ต้องด้วยความเข้าใจว่า บุญคือสิ่งที่ทำให้เป็นสุขทั้งปัจจุบันและอนาคต กับทั้งลงมือทำบุญอย่างต่อเนื่องทุกวัน ไม่ทำด้วยกายอย่างน้อยก็ทำด้วยวาจา ไม่ทำด้วยวาจาอย่างน้อยก็ทำด้วยใจคิด

หลายคนในหมู่พวกเรา เคยมีจิตแบบเทวดา ภพก่อนย่อมได้เป็นเทวดา กับทั้งเมื่อหมดเวลาเสวยบุญบนสวรรค์ชั้นฟ้า ยังได้รับการคุ้มครองจากบุญเก่า ตกแต่งให้มีจิตแบบมนุษย์ จึงสมควรได้มาเข้าท้องมนุษย์

แต่ครั้นเมื่อเป็นมนุษย์แล้ว เขาต้านทานแรงดึงดูดของกิเลสร้ายไม่ไหว แปรปรวนไปมีจิตแบบสัตว์นรก ตอนตายย่อมมีภาวะที่รองรับจิตแบบสัตว์นรกโดยไม่ต้องจ้างให้ใครสร้าง และไม่อาจอวดอ้างว่าฉันมาจากสวรรค์ชั้นฟ้า ฉันควรมีอภิสิทธิ์กลับสวรรค์

สรุปคือจิตเป็นต้นเหตุของสวรรค์และนรก จิตดีสร้างสวรรค์ จิตชั่วสร้างนรก ต้องว่ากันเป็นคราวๆชาติต่อชาติ ไม่มีอะไรตายตัวครับ